แนวทางการเบิร์นอินลำโพง

แนวทางการเบิร์นอินลำโพง
ถ้าถามว่า อุปกรณ์ใดสำคัญที่สุดในซิสเต็มส์ จะผิดไหมหากจะตอบว่าลำโพง ด้วยการที่มันทำหน้าที่เป็นตัวรวบรวม กล่อมเกลาสัญญาณต้นทาง เพื่อถ่ายทอดให้เป็นสัญญาณปลายทางที่ดีที่สุด โดยไม่เบี่ยงเบนสัญญาณจากแหล่งกำเนิด หรือเพิ่มความเพี้ยนให้กับสัญญาณเสียง หากลำโพงล้มเหลวในการถ่ายทอดสัญญาณเสียงได้อย่างตรงต้องตามแหล่งโปรแกรมแล้ว การทำงานของทุกองคาพยพเท่ากับเป็นการสูญเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย เหมือนศูนย์หน้าตีนบอด ยิงประตูเท่าไหร่ก็ไม่เข้า



เข้าช่วงซัมเมอร์ ขออนุญาตพักร้อน พักเรื่องการลองของ ลองเครื่อง หันมาหยิบเรื่องราวของการเบิร์นลำโพงมาเล่าขาน จากประสบการณ์ทั้งตัวเกล้ากระผมเอง และที่เคยได้สนทนาปราศรัยกับเพื่อนฝูงคอเครื่องเสียงด้วยกัน เพื่ออย่างน้อยได้เป็นแนวทางให้กับเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน ได้แบ่งปันความรู้กันไป
มีคำกล่าวว่า “การเล่นเครื่องเสียงไม่ใช่ลูกแก้วสารพัดนึก ที่จะนึดจะเสกให้ได้ตามที่ต้องการเสมอไป มีเงินก็ไม่แน่ว่าจะซื้อความสุขได้” นี่อาจจะเป้นสัจธรรมในการเล่นเครื่องเสียงเลยทีเดียว นักเล่นประเภท วัยรุ่นใจร้อน ใจเร็ว ด่วนได้ คงไม่มีทางถึงฝั่งฝัน ปัญหาสารพัน โดยเฉพาะนักเล่นมือใหม่ มักวนเวียนอยู่ว่า ทำไมลำโพงยี่ห้อเดียวกัน ชุดเดียวกัน เวลานั่งฟังที่ร้านกับที่บ้าน (หลังจากซื้อมาแล้ว) จึงได้ต่างกันราวฟ้าดิน เสียง เบสบวม เบลอ ฟุ้งมาก (ลำโพงบางรุ่นอาจไม่มีเบสให้ได้ยินเลยก็เป็นไปได้) เสียงกลางสดคม เสียงแหลมจัดเกินไป จนแทบจะยกกลับไปขอเงินคืนเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป
จริงอยู่ การที่จะได้มาซึ่งระบบเสียงที่ดี มีปัจจัยหลายประการ ทั้งเรื่องของคุณภาพเครื่อง คุณภาพแผ่น คุณภาพสายสัญญาณ สายลำโพง ตำแหน่งการจัดวาง สภาอคูสติกของห้องฟัง การแม็ทชิ่งซิสเต็มส์ การเบิร์นอินอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทาง ท้ายสุด ความพึงพอใจของผู้ฟัง และคงสาธยายได้ไม่หมดในคราเดียวกันนี้ จึงขอโฟกัสไปเรื่องการเบิร์นอินของอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในซิสเต็มส์ ได้แก่ ลำโพงก่อนเป็นเรื่องแรก การที่จะเข้าใจถึงความสำคัญของการเบิร์นอินลำโพง ย่อมต้องเข้าใจลักษณะทางกายภาพของลำโพงเสียก่อน

article burn in

ประเภทและโครงลำโพง
ลำโพงแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. ลำโพงไดนามิค
2. ลำโพงอิเล็กโทรสเตติก หรือลำโพง ESL
3. ลำโพงริบบ้อนทวีตเตอร์
ลำโพงไดนามิค ไม่ว่าแบบ 2 ทาง 3 ทาง พบได้ทั่วไปและจัดเป็นรูปแบบของลำโพงที่มีการผลิตและนิยมเล่นกันมากที่สุดใน หมู่นักเล่น ส่วนลำโพง ESL และลำโพงแผ่นฟิล์ม นิยมเล่นน้อยกว่า เพราะมีสนนค่าตัวสูงจากวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีการคัดประกอบขึ้นเป็นพิเศษ มีวงจรออกแบบเฉพาะกิจ และผลิตออกมาในปริมาณไม่มาก ราคาจึงสูง เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มไฮเอ็นด์
หลักการทำงานของลำโพง ESL อาศัยแรงสั่นจากแรงสนามไฟฟ้าเป็นต้นกำเนิดเสียง ส่วนประกอบหลักของลำโพงชนิดนี้ เป็นไดอะเฟรมที่ทำจากพลาสติกหรือเป็นแผ่น Plate โลหะเจาะพรุน ลักษณะเป็นตะแกรงอาศัยแรงดันไฟฟ้าส่งผ่านไดอะแฟรมเพื่อสร้างสนามไฟฟ้าขึ้น และสร้างเสียงออกมา ตัวอย่างของลำโพง ESL ที่มีชื่อเสียง ไดแก่ Quad ESL Series, Martin Logan
ขณะที่ลำโพงริบบ้อนทวีตเตอร์ อาศัยการเคลื่อนไหวจากแรงสนามแม่เหล็ก โดยใช้ไดอะแฟรมที่เกิดทำจากวัสดุบางๆ ลักษณะเป็นลูกคลื่น และนำไปแขวนไว้ในสนามแม่เหล็ก เพื่อให้ไดอะแฟรมสั่นและก่อกำเนิดเสียง ตัวอย่างลำโพงริบบ้อนที่คุ้นเคยกัน คือ Magnepan, Aurum Cantus
ไม่ว่าจะเป็นลำโพงประเภทใด ก็ต้องการการเบิร์นอินในระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ลำโพงไดนามิคมักจะใช้เวลาเบิร์นอินนานกว่าประเภทอื่น เนื่องมาจากโครงสร้างในหลายส่วนของลำโพงในเกือยทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรวยลำโพง วอยซ์คอยล์ ขอบกรวย ต้องการการขยับตัว ยืดเส้นยืดสายเพื่อให้อยู่ตัวจึงจะทำงานได้ดี

article burn in

โครงสร้างของลำโพงไดนามิค
ประกอบด้วย
1. ตะแกรงหน้ากากลำโพง
2. กรวยลำโพงหรือไดอะแฟรม (Diaphargm) ทำหน้าที่สั่นตามสัญญาณเสียง ทำให้เกิดเสียงขึ้น ไดอะแฟรมมีอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ ได้แก่ แบบโดมอ่อนและโดมโลหะอย่างที่นิยมใช้กัน คืออลูมินั่มอัลลอยด์ การแบ่งย่านความถี่ต่างๆ ทวีตเตอร์, มิดเร้นจ์และวูฟเฟอร์อาศัยวงจรอิเล็คทรอนิกส์ เรียกว่า ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค
3. วอยส์คอยล์ (Voice Coil) เป็นขดลวดรับสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณไฟฟ้ามาเปลี่ยนเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ไปผลักดันกับสนามแม่เหล็กถาวร ทำให้เกิดการสั่นของวอยซ์คอยล์ ไปทำให้กรวยลำโพงหรือ ไดอะแฟรมสั่น
4. แม่เหล็กถาวร (Magnet) ช่วยผลักดันกับแม่เหล็กไฟฟ้าจากวอยซ์คอยล์ ทำให้เกิดเป็นสัญญาณเสียงขึ้น
5. ส่วนยึดแขวนวอยซ์คอยล์ (Spider) ช่วยยึดวอยซ์คอยล์ให้สามารถลอยตัวอยู่ในร่องของสนามแม่เหล็กถาวรได้ โดยไม่เบียดหรือเสียดสีกับขอบของแม่เหล็กถาร
6. ขอบกรวย (Foam) ช่วยทำให้การสั่นตัวของลำโพงสะดวกขึ้น คุณภาพของกรวยตอบสนองความถี่เสียงของลำโพง
7. โครงหุ้มลำโพง (Cast Frame) เป็นเครื่องยึดส่วนประกอบต่างๆ ของลำโพงให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และไว้เป็นส่วนยึดลำโพงเข้ากับตู้ลำโพง
หลักการเบิร์นอิน
การเบิร์นอิน ฝรั่งมักจะเรียกว่า การเบรคอิน (Break-in) ลำโพง จะว่าไปไม่มีอะไรยาก เพียงแค่หาแผ่นซีดีเพลงที่ได้มาตรฐาน เปิดฟังกันไปเรื่อยๆ ในระดับเสียงที่มีความสู
กว่าปกติสักหน่อย เปิดซ้ำไปมา แล้วนับจำนวนจำนวนชั่วโมงการใช้งานเริ่มต้นจาก 50-100 ชั่วโมง เพื่อให้เครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ ทำความคุ้นเคยและสัมพันธ์กันมากขึ้นด้วยความใหม่ของวัสดุทำให้ลำโพงยังให้ เสียงได้ไม่ดีตามต้องการในระยะเริ่มต้น การเบิร์นนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทของลำโพงและแบรนด์ที่ต่างกันนานกว่า 200 ชั่วโมงก็มีให้เห็นอยู่ถมถืด เพราะฉะนั้นในช่วงเบิร์นอินจงอย่าไปใส่ใจหรือคาดหวังกับสุ้มเสียงมากนัก เพราะนอกจากมิติและโฟกัสจะเบลอ ฟุ้งแล้ว เสียงมิดเบสของลำโพงจะดูทึบตื้อ หาสาระอะไรมากไม่ได้ เนื่องมาจากการขยับของกรวยวอยซ์คอยล์นั้นยังขาดความคล่องตัวนั่นเอง
จำนวน ชั่วโมงของการเบิร์นอินไม่ควรต่ำกว่า 80-100 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นลำโพงประเภทไหน แบรนด์อะไร หลังจากนั้นค่อยถึงเวลาที่เราจะมานั่งวิเคราะห์ลำโพงอย่างจริงจัง ให้สังเกตถึงความเป็รอิสระของชิ้นดนตรี ความมีตัวตน การระบุตำแหน่งชิ้นดนตรีที่ทำได้ไม่ยาก เสียงกีต้า ไวโอลิน เปียโน มีความชัดใส สะอาด ไร้สากเสี้ยน
ในกรณีของนักทดสอบ ซึ่งมักมีเวลาค่อนข้างจำกัดกว่านักเล่นทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะเครื่องหรือลำโพงมีคิวจองทดสอบยาวเหยียด หรือยืมของนานเกรงใจดีลเลอร์ก็ตาม จึงต้องเร่งเบิร์นต่อเนื่องกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้มีเวลาเหลือมากพอกับการฟังให้มากที่สุด การใช้เวลาอยู่กับลำโพงแต่ละรุ่นเป็นช่วงไม่นานนัก เฉลี่ย 1-2 สัปดาห์ หนำซ้ำต้องทดสอบค้นหา ความจริง ดีงเอาจุดแข็ง-จุดอ่อนนั้นมาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจให้กับผู้อ่าน

article burn in

ผมจึงนิยมใช้แผ่น CD ทดสอบที่ผลิตมาโดยเฉพาะ เช่น แผ่นเบิร์นอินของ Purist Audio Design (PAD) System Enhancer CD (เป็นแผ่นที่ถูหยิบยืมไปเป็นประจำ) ด้วยการที่มันเป็นแผ่นที่ให้ความเป็นดนตรีสูง ช่วยย่นระยะเวลาไปได้ เพราะเพียงรันแผ่น สี่ครั้ง เทียบเท่าการเบิร์นอินถึง 100 ชั่วโมง (ตามคู่มือเขาว่าอย่างนั้น) ซึ่งได้ลองแล้วเป็นจริงเช่นที่ว่า หรือจะเป็นแผ่นของ Ayre ที่มีการบันทึกสัญญาณเสียงในแทร็คต่างๆ แตกต่างกัน, แผ่น Unplug 1,2,3 สังกัด TIS (Treasure Island Sound) ของฮ่องกง หรือแผ่นทดสอบและเบิร์นอินของ XLO เป็นต้น หลายครั้งหากเพื่อนหยิบยืมไปหรือหากคุณไม่มีแผ่นประเภทนี้ ก็ไม่ต้องกังวลแต่ประการใด ใช้สัญญาณคลื่นวิทยุจากสเตอริโอจูนเนอร์ เปิดทิ้งไว้ 2-3 วัน ก็ได้ อาศัยความถี่คลื่นวิทยุที่หลากหลาย ครบเครื่อง ก็ให้ผลออกมาดีไม่แพ้ แผ่น CD ทดสอบ
ขอบอกว่าไม่ต้องกลัวการเปิดเครื่องเล่นต่างๆ ต่อเนื่อง 2-3 วัน จะทำให้เครื่องเสียหาย เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกศ์ที่ออกแบบมาดีมีคุณภาพสามารถเปิดต่อเนื่องได้ อย่างทนทานนานนับปี ไม่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด เบิร์นนานเท่าไรจึงจะพ้นและพอ (ใจ)
อันนี้เป็นปัญหาโลกแตก พูดง่ายๆ คือ บอกยากครับว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน หลายปัจจัยที่ทำมห้ระยะเวลาการเบิร์นอินอาจนานกว่าที่คิดไว้ เพราะความสามารถและข้อจำกัดของลำโพงแต่ละรุ่น ที่มีจุดอิ่มตัวหรือสภาพถึงพร้อมไม่เหมือนกัน บางรุ่นอาจต้องเบิร์นนานกันเป็น 100-200ชั่วโมง หรืออาจจะแค่ 40-50 ชั่วโมงเท่านั้น

article burn in


แบบสอบถาม 4 ประการ ในการบ่งชี้ว่าลำโพงของท่านพ้นระยะเบิร์นอินแล้วหรือไม่ ได้แก่
1. ค่าไดนามิกของลำโพง (Dynamic Range) ไดนามิกซ์เร้นจ์ที่กว้างขวาง ไดนามิกคอนทราสต์ที่สวิงตัวขึ้นลงอย่างมีน้ำหนัก เสียงที่แยกออกมาระหว่างเบาที่สุด ถึงดังที่สุด ทำได้อย่างน่าฟังและน่าประทับใจหรือไม่ สำเนียงเสียงเสนาะเข้าถึงซึ่งความประณีต ที่ศิลปินพยายามจะแสดงออกระหว่างตัวโน้ตแล้วหรือยัง
2. การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) ต้องไม่ออกอาการห้วน หรือมีอาการคลุมเครือดุลเสียงกลมกลืนทั้งสามย่าน-สูง กลาง ต่ำ เสียงเหมือนอยู่ในกล่อง ทึบอู้หรือไม่ เสียงดนตรีชัดเจนสม่ำเสมอ เสียงร้องที่นิ่งสนิท หรือฮาร์โมนิคของชิ้นดนตรีทุกชิ้นแล้วหรือไม่
3. ความกังวาลของเสียง (Image & Soundstage) สังเกตได้จากเสียงเปียโน ให้ความกังวาลตามระดับของเสียงความสมจริง ไม่มากไม่น้อยเกินไป เสียงมีความเป็นอิสระ เปิดโปร่งหรือไม่
4. โทนัล บาลานซ์ (Tanal Balance) มีความต่อเนื่องไหลลื่น ไร้ตะเข็บเสียง ให้รายละเอียดของเสียงกลางแหลมที่ราบเรียบเสมอสมาน เนื้อเสียงประณีตละเอียดแล้วหรือยัง
หากคำตอบของคุณจากแบบสอบถามข้างต้น คือ “ใช่” ทั้งหมด ขอแสดงความยินดีว่าลำโพงของท่านพ้นระยะเบิร์นอินแล้ว และแน่นอน ลำโพงที่พ้นการเบิร์นอิน บุคลิกและสไตล์เสียงจะอยู่ตัวไปอย่างนั้นและจะไม่เปลี่ยนไปอีก ไม่ว่าจะเปิดเพลงเล่นแผ่นไปอีกสักเท่าไรก็ตาม...พระเดชพระคุณทั้งหลาย

ขอขอบคุณ นิตยสารGM2000 Vol.9 No.109 April2006 คอลัมน์Test talk หน้า 58-64


ทดลองขับ FORD Fiesta 1.6 Sport 4 & 5 Door

ฟอร์ด เฟียสต้า รถที่ถูกกล่าวถึงมานานกว่าปี ด้วยข่าวที่มีมาตลอดถึงรถเล็กในเซ็กเมนต์ของรถซิตี้คาร์บ้านเราที่ค่ายฟอร์ด เตรียมตัวจะส่งออกมาลงสู้ศึกในตลาดรถยนต์ นับได้ว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดลำดับต้น ๆ ของบ้านเรา ด้วยระดับราคาที่ไม่สูงมากนัก อยู่แถว 5-7 แสน บาท อันเป็นช่วงราคาที่เอื้อต่อการเป็นเจ้าของของคนในวัยเริ่มต้นการทำงาน ไปจนถึงกลุ่มนักศึกษา ด้วยเหตุนี้เอง หลาย ๆ บริษัทต่างพยายามเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้กันอย่างดุเดือด

ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ เปิดตัวในบ้านเราภายใต้การผลิตจากโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ที่ จ.ระยอง ด้วยมาตรฐานระดับสากล เพื่อนำออกจำหน่ายทั้งในบ้านเราและยังมีการส่งออกไปขายยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย สำหรับในบ้านเรา ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ เปิดตัวพร้อมกันถึง 2 เวอร์ชั่น ที่มีให้เลือกใช้งานกันทั้งในแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตู ตามความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่แตกต่างของแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตูแล้ว

ในเรื่องของเครื่องยนต์ยังมีมาให้เลือกใช้งานถึง 2 ขนาด โดยเริ่มจากรุ่นเล็กสุดในรุ่น 1.4 ลิตร ไปจนถึงรุ่นใหญ่อย่างรุ่น 1.6 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์ PowerShift แบบ 6 สปีด หากจะว่าไปแล้ว เฟียสต้า ใหม่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 รุ่น โดยแบ่งจากแบบของตัวถัง ขนาดของเครื่องยนต์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่แตกต่างกัน อย่างในเวอร์ชั่น 4 ประตูนั้น จะมีอยู่ด้วยกันถึง 4 รุ่น เริ่มตั้งแต่รุ่นเล็กสุด 1.4 Style MT, 1.4 Style AT, 1.6 Trend PowerShift และ 1.6 Sport PowerShift ส่วนในเวอร์ชั่น 5 ประตูจะมีอยู่ด้วยกันถึง 3 รุ่น เริ่มตั้งแต่ 1.4 Style AT, 1.6 Trend PowerShift ไปจนถึงรุ่นสูงสุด 1.6 Sport PowerShift จะเห็นได้ว่าในเวอร์ชั่น 5 ประตูนั้น จะไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาเหมือนในเวอร์ชั่น 4 ประตูมาให้เลือกใช้

Ford Fiesta

สำหรับคอลัมน์ Test Drive ในฉบับนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ทั้ง 2 เวอร์ชั่น ในแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตู ซึ่งรุ่นที่เราจะนำมาทำการทดสอบกันในฉบับนี้ เราได้จับเอารุ่นท็อปของทั้ง 2 เวอร์ชั่น (1.6 Sport PowerShift) มาดูถึงความแตกต่างและประโยชน์ใช้สอยที่ได้รับการออกแบบมารองรับการใช้งาน ที่แตกต่างกันตามความต้องการที่ไม่เหมือนกัน

หรูหรา & สปอร์ต 2 ทางเลือกใหม่จากฟอร์ด เฟียสต้า

เริ่มต้นมาทำความรู้จักกับรูปลักษณ์ของฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ที่ภายนอกกันก่อน ซึ่งในวันนี้เรามีมาทั้งสองเวอร์ชั่น ทั้งในแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตู ที่หากมองแต่เพียงด้านหน้าของตัวรถแล้ว อาจจะแยกกันไม่ออกถึงความแตกต่าง เพราะด้วยพื้นฐานในการออกแบบเดียวกันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ทั้งในแบบ 4 ประตู และแบบ 5 ประตู มีดีไซน์ส่วนหน้าที่เหมือนกัน ตั้งแต่ชุดไฟหน้าที่เรียวยาว รวมไว้ซึ่งไฟสูง-ไฟ ต่ำ และไฟเลี้ยวเข้าไว้ในโคมเดียวกัน กันชนหน้าขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบให้รับขึ้นมาถึงส่วนกระจังหน้าตามแบบฉบับของ รถปัจจุบันนี้ โดยบริเวณกึ่งกลางของตัวกันชนถูกออกแบบให้เป็นช่องรับลมขนาดใหญ่รูปทรงสี่ เหลี่ยมคางหมู ที่ยังมีการเล่นแนวเส้นอะลูมิเนียมสีเงินเป็นกรอบสี่เหลี่ยมขนานมุมทั้งสอง ข้างของตัวช่องลม

Ford Fiesta

ถัดไปทางด้านข้างเป็นที่อยู่ของชุดไฟสปอตไลต์ทรงกลมที่มีการเล่นขอบเป็น โครเมียมอีกนิด ช่วยเติมความหรูหราให้มุมมอง ซึ่งหากเป็นรุ่นที่รองลงมา เจ้าช่องสปอตไลต์นี้จะถูกปิดเป็นช่องสีดำที่ดูคล้ายช่องลมเท่านั้น มุมมองด้านข้างครึ่งหน้ายังคงให้ความคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวกระจกมองข้างที่มาพร้อมไฟเลี้ยวก็ยังคงเป็นชุดเดียวกัน จะมาเริ่มสร้างความแตกต่างก็ตรงส่วนท้าย ที่ในรุ่น 4 ประตู จะให้มุมมองออกไปทางแนวหรูหรา อันเป็นอารมณ์ที่แตกต่างกับรุ่น 5 ประตู ที่มากันในแนวสปอร์ตอย่างชัดเจน อีกทั้งสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือสุดของตัวกระจกหลังมาพร้อมไฟเบรกดวง ที่สาม สามารถเติมเต็มอารมณ์สปอร์ตให้กับรุ่น 5 ประตูได้มาก ไฟท้ายขนาดใหญ่ที่ทอดยาวขึ้นไปทางด้านบนของรุ่น 5 ประตู ช่วยสร้างบุคคลิกเฉพาะตัวได้มาd

ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกแบบอเมริกันสไตล์ แต่อาจไม่เหมาะกับคนตัวใหญ่

ภายในห้องโดยสารนั้น ทั้ง 2 เวอร์ ชั่นยังคงให้อารมณ์ที่คล้ายกันจากดีไซน์ของคอนโซลหน้าที่ดูล้ำยุค พร้อมการจัดวางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในสไตล์ยุโรป สามารถเติมเต็มความรู้สึกของรถแบรนด์อเมริกาได้มาก (แม้จะรู้อยู่แล้วว่าใช้พื้นฐานในการออกแบบเดียวกับมาสด้า2 ก็ตามที) อย่างเช่น ชุดวิทยุ-ซี ดี แบบที่ติดตั้งมาให้เป็นส่วนหนึ่งของคอนโซลหน้า โดยทำงานร่วมกับชุดจอแสดงผลสีส้มที่ใช้บอกสถานะของระบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ-ซีดี โทรศัพท์ ไปจนถึงระบบเตือนต่าง ๆ เช่น ลืมปิดประตูหรือปิดไม่สนิทแล้วเคลื่อนที่รถ

Ford Fiesta

อีกทั้งยังทำงานสัมพันธ์กันกับระบบสั่งงานด้วยเสียง (Voice Control) ที่ช่วยให้คุณสามารถสั่งควบคุมการเปลี่ยนคลื่นวิทยุ โทรศัพท์ ไปจนถึงอุณหภูมิแอร์ (อันนี้เฉพาะรุ่น 4 ประตู เพราะเป็นรุ่นเดียวที่เป็นแอร์แบบออโต้) เพียงแค่กดปุ่มเริ่มคำสั่งที่จะติดตั้งไว้ที่ก้านไฟเลี้ยวทางด้านซ้ายมือของคอพวงมาลัย (ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ยังคงใช้ก้านควบคุมไฟเลี้ยวอยู่ทางด้านซ้ายมือของคอพวงมาลัยตามสไตล์ของรถยุโรป อเมริกา ที่เป็นพวงมาลัยซ้าย) ระบบ ก็จะเริ่มถามสลับ กับให้เราตอบหรือสั่งการเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจากการทดลองใช้อยู่พักใหญ่ ๆ กลับพบว่า ในการสั่งงานนั้น นอกจากจะสั่งงานด้วยภาษาอังกฤษแล้ว ในบางคำสั่งยังคงต้องใช้ความสามารถทางภาษาที่ดีเยี่ยม ไม่เช่นนั้นระบบอาจจะไม่เข้าใจในคำสั่งของเราได้ งานนี้เห็นทีจะต้องไปลงเรียนคอร์สฝึกภาษาเพิ่มกันเป็นแถว....

Ford Fiesta

ความแตกต่างของรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู ในส่วนของภายในห้องโดยสาร ที่นอกเหนือจากส่วนต่อของห้องโดยสารหลังกับห้องเก็บสัมภาระแล้วนั้น ในเรื่องของอุปกรณ์ภายในก็จะมีแตกต่างกันอยู่บ้างหลายจุด เริ่มกันตั้งแต่ชุดระบบปรับอากาศ (แอร์) ที่ในรุ่น 4 ประตู จะมาพร้อมกับแอร์ออโต้ที่มีจอแสดงผลเป็นจอดิจิตอลเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางชุดควบคุมแอร์ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับระบบ Voice Control ได้ด้วย ในขณะที่รุ่น 5 ประตู จะเป็นชุดควบคุมแอร์แบบธรรมดาที่มีสวิตช์อยู่ 3 วง ให้เลือกปรับทิศทางลม แรงลม และอุณหภูมิได้เหมือนกับแอร์ออโต้ ในส่วนถัดมาที่มีความแตกต่างก็เป็นในเรื่องของบาะนั่ง ที่ถึงแม้จะเป็นเบาะรูปทรงเดียวกัน ให้ความโอบกระชับได้ดีมากในการใช้งานเหมือนกัน แต่ในรุ่น 4 ประตูจะเป็นเบาะนั่งแบบหนังมาให้ ในขณะที่รุ่น 5 ประตูจะเป็นเบาะผ้าธรรมดา

อีกคำถามที่เกิดสงสัยอยู่นิดก็ตรงที่ทั้งในรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตูนั้น ตรงที่มือจับด้านบนเหนือศีรษะทั้งซ้ายและขวาของผู้โดยสารตอนหลังทำไมถึงไม่มีมาให้ ในขณะที่ของคนนั่งข้างหน้าก็มีมาให้ปกติ

เครื่องยนต์ตัวใหม่ จากตระกูลดูราเทค

ตามที่กล่าวไปแล้วในช่วงต้นถึงเครื่องยนต์ ที่มารับหน้าที่เป็นหัวใจสำคัญใน การขับเคลื่อนเจ้าฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ นั้น มีอยู่ด้วยกันถึง 2 ตัว คือในแบบ 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตร ซึ่งในวันนี้เราจะมาดูกันที่เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่ถูกนำมาประจำการทั้งในเวอร์ชั่น 4 ประตู และ 5 ประตู เครื่องยนต์ตัวนี้ยังคงมาในพื้นฐานของเครื่องยนต์เบนซินบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ที่มีพิกัดความจุอยู่ที่ 1,596 ซี.ซี. ใช้เทคโนโลยี Ti-VCT (Twin independent – Variable Camshaft Timing) ในการควบคุมจังหวะการทำงานของเพลาลูกเบี้ยวให้สามารถแปรฝันได้อย่างอิสระ ทั้งฝั่งไอดีและฝั่งไอเสีย จนเป็นที่มาของแรงม้า 121 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 15.39 กก.-. ที่มีมาให้ใช้ในรอบเครื่องยนต์เพียงแค่ 4,050 รอบ/นาทีเท่านั้น ซึ่งเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้จะสามารถใช้งานได้กับน้ำมันเบนซิน 91 ไปจนถึงน้ำมัน E20 เลยทีเดียว

Ford Fiesta

ครั้งแรกกับการใช้เทคโนโลยีคลัตช์คู่กับรถในกลุ่มซิตี้คาร์

ระบบเกียร์อัตโนมัติที่ติดตัวมาในรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรนั้น ดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจของคนที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อ ด้วยชื่อเสียงของเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ PowerShift 6 สปีด ของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ที่ให้ความโดดเด่นที่นอกเหนือจากจังหวะของเกียร์ที่มากถึง 6 สปีดแล้ว ระบบคลัตช์ที่ควบคุมจังหวะในการตัดต่อกำลังนั้นจะเป็นแบบคลัตช์คู่แยกการทำงานจากกันเป็น 2 ชุด โดยชุดหนึ่งจะควบคุมการตัดต่อกำลังของเกียร์ 1, 3 , 5 ในขณะที่คลัตช์อีกชุดจะควบคุมการทำงานของเกียร์ 2, 4, 6 ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ของเกียร์ PowerShift ลูกนี้มีการทำงานที่รวดเร็วจากการทำงานสลับกันของ 2 ชุดคลัตช์ที่ให้ทั้งความนุ่มนวล และความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ไปพร้อมๆ กัน

บททดสอบแรกกับการใช้งานในเมือง

มาถึงช่วงทดสอบกับการใช้งานในเมืองนั้น ด้วยขนาดเครื่องยนต์ที่มากถึง 1.6 ลิตร นับเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเรื่องที่คล่องตัว โดยเฉพาะในยามที่ต้องการกำลังแบบปัจจุบันทันด่วนในการเปลี่ยนเลนบนถนนที่มี การจราจรวุ่นวายอย่างบ้านเรา เมื่อรวมกับขนาดของตัวรถที่เล็กกระทัดรัดของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ จัดได้ว่าสอบผ่านอย่างสบายๆ กับภาระกิจการใช้งานแบบซิตี้คาร์ โดยเฉพาะในการหาที่จอดในเมืองขนาดของตัวรถนับเป็นส่วนสำคัยที่ช่วยเพิ่มความ สะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่เป็นธรรมดาของโลกไปนี้ที่เมื่อได้อย่างก็มักจะเสียอย่าง ด้วยขนาดของตัวรถที่เล็กกระทัดรัด ก็ส่งผลกลับมาที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะหากผู้ขับและผู้โดยสารมีรูปร่างใหญ่โต งานนี้ก็อาจจะดูว่าพื้นที่ภายในส่วนหน้านั้นมีเหลือที่ว่างค่อนข้างน้อย แต่ในส่วนของห้องโดยสารด้านหลังนั้นยังคงรองรับกับการเดินทางของผู้โดยสาร 2-3 คนได้อย่างสบาย

Ford Fiesta

สิ่งหนึ่งที่พบจากการใช้งานว่าทำไมคันเกียร์ของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ทั้งในรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตูนั้นสามารถเลื่อนจากตำแหน่งเกียร์ N มาตำแหน่งเกียร์ D ได้โดยไม่ต้องกดปลดล็อคแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้ามในเวลาเลื่อนเกียร์จาก D มา N กลับ ต้องกดปุ่มปลดล็อคที่คันเกียร์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดูออกจะขัดแย้งกับเหตุและผลในเรื่องความปลอดภัยอยู่ มากในเรื่องนี้

จากขนาดของเครื่องยนต์ที่มีซีซี.มากถึง 1.6 ลิตร ก็ส่งผลกลับมาในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจากการทดลองใช้งานในเมืองแล้วตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองหลังจากผ่านการขับ ขี่ด้วยระยะทางกว่า 200 กม. ในเมือง ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ มีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 8.2-8.6 กม./ลิตร ที่เมือเทียบกับคู่แข่งในตลาดเซ็กเม้นท์เดียวกันก็อาจจะดูกินมากกว่าอยู่ นิดๆ แต่ก้ต้องไม่ลืมว่าคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องยนต์ที่ มีความจุเพียงแค่ 1.5 ลิตรเท่านั้น

Ford Fiesta

จี๊ดจ๊าดไปกับเส้นทางไฮเวย์

ทันทีที่มุ่งหน้าขึ้นไฮเวย์ เราจะได้สัมผัสกับสมรรถนะ และพละกำลังของเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่สามารถทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 สปีด ได้อย่างลงตัว ดวยระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ก็สามารถพาเราข้ามผ่านตัวเลข 100 บนมาตรวัดได้อย่างทันอกทันใจ และเพียงกดคันเร่งต่อไปอีกสักพักเข็มความเร็วก็จะมาหยุดอยู่ที่ตัวเลข 200 ได้อย่างไม่ยากเย็น อันเป็นตัวเลขความเร็วสูงสุดที่จัดได้ว่ามากที่สุดในกลุ่มเดียวกัน (โดยส่วนใหญ่รถในเซ็กเม้นท์นี้จะมีระดับความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 180-190 กม./ชม.) อีก ทั้งสมรรถนะของระบบช่วงล่างที่ได้รับการเซ็ตมาในสไตล์ยุโรปสามารถแสดง ประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถให้ความมั่นใจได้มากแม้ต้องเดินทางด้วยความเร็วเกิน 140 ซึ่งนับเป็นจุดเด่นที่สำคัญข้อหนึ่งของ ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่เลยทีเดียว

Ford Fiesta

นอกเหนือจากสมรรถนะที่น่าพอใจของเครื่อง ยนต์และระบบส่งกำลังแล้ว ในการเดินทางต่างจังหวัด ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ยังสามารถทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองได้ดีถึงระดับ 14 กม./ลิตรเลยทีเดียว ซึ่งส่วนสำคัญก็คงต้องยกความดีให้กับเจ้าเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ให้อัตราทดที่ต่ำในเกียร์ที่ 6 ส่งผลให้ในยามที่เดินทางไกลเครื่องยนต์ไม่ต้องรับภาระที่หนัก จนทำให้ตัวเลขความประหยัดทำได้ดีผิดกับการใช้งานในเมืองอย่างเห็นได้ชัด

ฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจของตลาดรถซิตี้คาร์ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสมรรถนะในการขับขี่ในสไตล์ยุโรป กับระดับราคาที่เร้าใจเพียงแค่ 699,000 คงไม่ยากเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ.....

คุยหลังขับ Ford Fiesta 2010

ความเร็วเดินทางที่เกียร์สูงสุด

ความเร็ว (กม./ชม.) รอบ (รอบ/นาที)

100 2,300

120 2,800

140 3,300

160 3,800

180 4,300

ข้อมูลทางเทคนิค

ยี่ห้อ FORD Fiesta 1.6 Sport 4 & 5 Door

ประเทศผู้ผลิต และรุ่นปี ประเทศไทย รุ่นปี 2010

แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว

ปริมาตรความจุ (ซีซี.) 1,596

กระบอกสูบ x ระยะชัก (มม.) 79.0 X 81.4

อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1

ระบบควบคุมเครื่องยนต์ หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์มัลติพอยท์

กำลังสูงสุด (แรงม้า / รอบ / นาที) 121 / 6,000

แรงบิดสูงสุด (กก.-. / รอบ / นาที) 15.39 / 4,050

ถังเชื้อเพลิงจุ (ลิตร) 43

ระบบขับเคลื่อน ล้อหน้า

ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 6 สปีด PowerShift

ระบบคลัทช์ Dual Dry Multiple Disc Clutch

อัตราทดเกียร์ 1 3.917 : 1

2 2.429 : 1

3 1.436 : 1

4 1.021 : 1

5 0.867 : 1

6 0.702 : 1

เกียร์ถอยหลัง 3.507 : 1

อัตราทดเฟืองท้าย 3.895 : 1 / 4.353 : 1

ระบบพวงมาลัย แร็คแอนด์พิเนี่ยนพร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPAS)

รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด (เมตร) 5.1

ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ แบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง

ระบบกันสะเทือนหลัง แบบทอร์ชั่นบีม พร้อมเทรลลิ่งอาร์ม

ระบบเบรก หน้า/หลัง ดิสก์เบรก / ดรัมเบรก

มิติ กว้าง X ยาว X สูง (มม.) 1,722 x 4,291 x 1,454 1,722 x 3,950 x 1,454

ฐานล้อยาว (มม.) 2,489

ความกว้างของล้อหน้า (มม.) 1,478

ความกว้างของล้อหลัง (มม.) 1,465

ล้อ 16 x 6.5J

ยาง 195 / 50 R16

อัตราความสิ้นเปลือง (กม./ลิตร)

ในเมือง 8.2 8.6

นอกเมือง 14.7 14.3

ราคาจำหน่าย (บาท) 699,000 699,000